• Home
  • สาระน่ารู้
  • การป้องกันระบบไฟฟ้า แรงดัน-กระแส-ความถี่ ขาด/เกิน

บทความ สาระน่ารู้ มีประโยชน์

SUPREMELINES CO.,LTD

การควบคุมแบบอัตโนมัติ (Automatic Control) การแก้ไขให้ระบบวัดอุณหภูมิด้วยเทอร์โมคัปเปิลให้ทำงานได้ดีขึ้น
เทอร์โมคัปเปิล (Thermocouple) หลักการวัดความต้านทานดิน Earth Ressistivity Measurement
เครื่องมือที่ใช้วัดความกดอากาศ คือ "บาโรมิเตอร์ (Barometer)" เครื่องตรวจจับความเคลื่อนไหว คืออะไร
ฮีตเตอร์อินฟราเรด Infrared Heater หลักการเกี่ยวกับกล้องถ่ายภาพความร้อน
พร็อกซิมิตี้สวิตช์ Proximity Switches เอ็นโค้ดเดอร์ในงานอุตสาหกรรม
โฟโต้สวิตช์ (Photo Switch) คืออะไร ทฤษฏี Flow Meter
โซลิดสเตตรีเลย์ คืออะไร และมีกี่ชนิด? คาปาซิทีฟ พร็อกซิมิตี้เซนเซอร์ (Capacitive Proximity Sensors)
การป้องกันระบบไฟฟ้า แรงดัน-กระแส-ความถี่ ขาด/เกิน อัลตราโซนิค เซนเซอร์ (Ultrasonic Sensors)

การป้องกันระบบไฟฟ้า แรงดัน-กระแส-ความถี่ ขาด/เกิน


การป้องกันระบบไฟฟ้า ในปัจจุบันไม่มีใครบอกว่าไฟฟ้าไม่มีความจำเป็นในชีวอตประจำวัน ไม่ว่าท่านจะอยู่ที่บ้าน ที่โรงเรียน ที่ทำงาน หรือที่ไหนๆ ทุกคนทุกชีวิตมีส่วนเกี่ยวข้องทั้งนั้น ในการป้องกันระบบไฟฟ้า จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างหนึ่งเพื่อป้องกันอุปกรณืทางไฟฟ้าที่เราใช้งานอยู่

ความผิดปกติที่เกิดขึ้นได้ในระบบไฟฟ้า

1. แรงดันไฟฟ้าตกหรือเกิน

แรงดันไฟฟ้าตกเกิดขึ้นเนื่องจาก ความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงขึ้น ทำให้เกิดแรงดันตกคร่อมระหว่างทางมาก ทำให้แรงดันปลายทางที่โหลดได้รับน้อย ส่วนแรงดันเกินส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นน้อย หรือจะเกิดขึ้นในส่วนที่ติดตั้งใกล้หม้อแปลงไฟฟ้า เพราะหม้อแปลงการไฟฟ้าแปลงออกมาอยู่ที่ 416 VL-L และ 240 VL-N

ตัวอย่างผลกระทบของแรงดันไฟฟ้าตกหรือเกิน จะแบ่งเป็นโหลด 2 ประเภท คือ ความต้านทานและอินดักทีฟ

ผลกระทบ
สมมุติ ถ้าแรงดันไฟฟ้าตก 20% โหลดความต้านทาน (เช่น ฮีตเตอร์) กำลังไฟฟ้าจะตกเหลือ 64% ของพิกัด เช่น ฮีตเตอร์ 100 W จะเหลือ 64 W และกระแสไฟฟ้าจะลดลง 20% ของพิกัด โหลดอินดักทีฟ (เช่น หม้อแปลงมอเตอร์) กำลังไฟฟ้าตกเหลือ 64% ของพิกัด มอเตอร์ขนาด 10 แรงม้าจะเหลือ 6.4 แรงม้าความเร็วรอบตกและกระแสไฟฟ้าสูงขึ้น เพื่อให้มีกำลังขับโหลดที่ 10 แรงม้าได้
สมมุติถ้าแรงดันไฟฟ้าตกเกิน 20% กำลังไฟฟ้าจะเพิ่มขึ้นเป็น 144% ของพิกัด เช่น ฮีตเตอร์ 100 W จะกลายเป็น 144 W และกระแสไฟฟ้าจะเพิ่มขึ้น 20% ของพิกัด เป็นผลอาจทำให้ฮีตเตอร์ทำงานไม่ทนทาน กำลังขับมอเตอร์จะเพิ่มขึ้นเป็น 144% ของพิกัด เช่น มอเตอร์ขนาด 10 แรงม้าจะกลายเป็น 14.4 แรงม้า มีข้อดีก็คือ ความเร็วรอบสูงขึ้นกว่าพิกัด ข้อเสียคือ เกิดค่าความสูญเสียในแกนเหล็กสูงมากจนอาจทำให้มอเตอร์ไหม้ได้

2. กระแสไฟฟ้าตกหรือเกิน

กระแสไฟฟ้าเกินเป็นผลมาจากแรงดันไฟฟ้าเกินในโหลดความต้านทาน เช่น ฮีตเตอร์หรือเป็นผลจาก มอเตอร์ขับโหลดเกินพิกัด ซึ่งเป็นผลเสียคือ ทำให้อุปกรณืดังกล่าว เกิดความร้อนขึ้นอาจทำให้อุปกรณ์นั้น เกิดความเสียหายในที่สุด จึงจำเป็นต้องป้องกันไว้

ส่วนกระแสแสตกนั้น เป็นผลมาจากแรงดันไฟฟ้าตกทำให้ฮีตเตอร์ทำงานไม่เต็มที่ ทำให้งานไม่ได้กำลังไฟฟ้าที่ต้องการ ส่วนทางโหลดประเภทมอเตอร์นั้นจะหมายถึงการที่โหลดรับภาวะผิดปกติ เช่น มอเตอร์ขับสายพาน แล้วสายพานเกิดการขาดขึ้นมาจะทำให้มอเตอร์ตัวนั้นแสตก

 

3. ลำดับเฟสผิด (Phase Sequence)

เป็นความผิดปกติที่เกิดเฉพาะไฟฟ้าระบบ 3 เฟส เท่านั้น ถ้าเป็นการต่อใช้งานกับโหลดประเภทฮีตเตอร์จะไม่เกิดความผิดปกติอะไร แต่ถ้าเป็ฯโหลดประเภทมอเตอร์ จะเกิดความเสียหายคือ มอเตอร์จะหมุนกลับทิศทาง จะเกิดความเสียหายบางงาน เช่น มอเตอร์ในงานเครื่องปรับอากาศ ซึ่งต้องหมุนเพียงตามเข็มนาฬิกาเท่านั้น หากลำดับเฟสผิด มอเตอร์หมุนทวนเข็มนาฬิกาเป็นผลให้มอเตอร์และระบบอาจเกิดความเสียหายได้

4. เฟสหาย (Phase Loss)

เป็นความผิดปกติที่เกิดเฉพาะไฟฟ้าระบบ 3 เฟส เท่านั้น ถ้าเป็นความเสียหายในโหลดประเภทฮีตเตอร์ จะเกิดความเสียหายคือ กำลังไฟฟ้าจะตกลงไป 33% เมื่อ เฟสหายไป 1 เฟส และกำลังจะตกไป 66% เมื่อเฟสหายไป 2 เฟส เป็นผลทำให้งานที่ทำไม่ได้กำลังงานไฟฟ้าตามต้องการ ส่วนกรณีของมอเตอร์ มอเตอร์จะไม่เกิดสนามแม่เหล็กหมุน (มอเตอร์ไม่หมุน) และทำให้มอเตอร์ไหม้ด้วยเวลาภายในไม่กี่วินาที

5. เฟสไม่สมมาตร (Phase Asymmetry)

โดยปกติในระบบ 3 เฟส จะจ่ายแรงดันไฟฟ้าในอัตราที่เท่ากัน 3 เฟสในความหมายของไม่สมมาตร คือ แหล่งจ่ายไฟที่เข้ามาแรงดันไฟฟ้าเท่ากันนั่นเอง ทำให้เกิดความไม่สมดุลย์คือ บางเฟส จะทำงานหนักมีกระแสสูง บางเฟสจะทำงานเบากว่ามีกระแสที่ต่ำกว่า โดยการปรับตั้งจะตั้งเพื่อป้องกันอุปกรณ์อย่างเช่น มอเตอร์นั่นเอง

6. ความถี่ (Frequency)

จะใช้ในระบบไฟฟ้ากระแสสลับ เพื่อป้องกันความเสียหายจากความถี่ทางไฟฟ้าแก่อุปกรณ์ ดังเช่น หม้อแปลงและมอเตอร์ ยกตัวอย่าง หากความถี่สูงกว่าปกติ มอเตอร์จะหมุนด้วยความเร็วที่เกินพิกัดและความถี่ต่ำกว่าปกติ มอเตอร์และหม้อแปลงจะเกิดค่าสูญเสียในแกนเหล็กสูงมากจนอาจทำให้เกิดความเสียหายได้

7. เพาเวอร์เฟคเตอร์ (Power Factor)

จะใช้ในบางลักษณะงานเช่น ต้องการควบคุมมอเตอร์ อะซิงโครนัส (Asynchronous Motor) ซึ่งเป็นมอเตอร์ที่ใช้ตามโรงงานอุตสาหกรรมเมื่อมอเตอร์รับโหลดมากเพาเวอร์เฟคเตอร์จะสูง และเมื่อมอเตอร์รับโหลดน้อยเพาเวอร์เฟคเตอร์จะต่ำจะใช้ควบคุมไม่ให้มอเตอร์ทำงานเบาและหนักเกินไป มักใช้ในการขับเพลามูเล่ เป็นต้น

ศูนย์รวมเครื่องมือวัดและควบคุมแบบอัตโนมัติ ทางด้านอุตสาหกรรม ทุกชนิด

" จากประสบการณ์ที่ยาวนาน ในวงการขายการนำเข้าเครื่องมือวัด และควบคุมแบบอัตโนมัติ ทางด้านอุตสาหกรรม ด้วยทีมงานเชี่ยวชาญ พร้อมให้คำปรึกษาบริการก่อนและหลังการขาย คุณภาพดี มีมาตรฐาน "

บริษัท สุพรีมไลนส์ จำกัด จำหน่ายอุปกรณ์อุตสาหกรรมเครื่องมือวัด-เครื่องควบคุมแบบอัตโนมัติ อาทิเช่น เครื่องควบคุมอุณหภูมิและความชื้น, หัววัดอุณหภูมิ, เครื่องนับจำนวน, เครื่องตั้งเวลา, เครื่องทอสอบความเป็นฉนวน, เครื่องวัดแรงดันไฟฟ้าและกระแสไฟฟ้า, แคลมป์มิเตอร์, มัลติมิเตอร์, มิเตอร์, เทอร์โมมิเตอร์, ฮีตเตอร์, เทอร์โมคัปเปิล, เซนเซอร์ตรวจจับแบบต่างๆ เป็นต้น และยังมี เครื่องจักรบรรจุภัณฑ์, เครื่องซีลสูญญากาศขนาดเล็ก Fresh World

Contact us || บริษัท สุพรีมไลนส์ จำกัด

หมวดหมู่สินค้า / Tags Products

Contact us

โทร : 0-2722-2233
แฟกซ์ : 0-2722-2211
This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.

Visit us

80, 82 ถนนพัฒนาการ
แขวง/เขต ประเวศ กรุงเทพฯ 10250
supremelines.co.th

Office hours

Mon. - Fri. | 08.00 17.30
facebook/supremelines
LINE@: @supremelines

ติดต่อเรา Supremelines โปรโมชั่นสินค้า Catalog Heater Online