คุณสมบัติทั่วไป ของสายเทอร์โมคัปเปิล และ อาร์ทีดี
สายเทอร์โมคัปเปิลและอาร์ทีดี เป็นสายเชื่อมต่อที่ใช้ในการวัดอุณหภูมิ โดยมีบทบาทสำคัญในการเชื่อมต่อระหว่างเซ็นเซอร์วัดอุณหภูมิกับเครื่องมือหรืออุปกรณ์ที่ใช้ในการแปลงและแสดงผลข้อมูลอุณหภูมิ🌡️ โดยสายเทอร์โมคัปเปิลจะเชื่อมต่อระหว่างเซ็นเซอร์เทอร์โมคัปเปิล (ทำจากโลหะสองชนิดที่ต่างกัน) กับเครื่องมือวัดอุณหภูมิ ซึ่งทำหน้าที่แปลงแรงดันไฟฟ้าที่เกิดจากอุณหภูมิแตกต่างเป็นค่าของอุณหภูมิ และสายอาร์ทีดีจะเชื่อมต่อระหว่างเซ็นเซอร์ RTD (ที่มีความต้านทานไฟฟ้าเปลี่ยนแปลงตามอุณหภูมิ) กับเครื่องมือวัดอุณหภูมิ ซึ่งทำหน้าที่วัดความต้านทานและแปลงเป็นค่าของอุณหภูมิ ซึ่งสายเทอร์โมคับเปิลและอาร์ทีดีมีให้เลือกใช้หลายชนิดตามลักษณะการนำไปใช้งานโดยแบ่งได้ 3 แบบคือ 1.สายหุ้มฉนวน PVC, 2. สายหุ้มฉนวนไฟเบอร์กล๊าส และ 3. สายหุ้มฉนวนสแตนเลสซิลด์ โดยโครงสร้างทั้วไปจะประกอบไปด้วย ลวดตามชนิดของเทอร์โมคัปเปิลหรือ SENSER RTD และหุ้มด้วยฉนวนตามชนิดของสายอีกที่

คุณสมบัติทั่วไปของสายเทอร์โมคัปเปิล และอาร์ทีดี
- สายหุ้มฉนวนพีวีซี (PVC INSULATION) เป็นวัสดุที่มีความทนทานต่อสารเคมี ความชื้น การกัดกร่อน และฉนวนไฟฟ้าที่ดี ไม่ลามไฟ ช่วยป้องกันการรั่วไหลของกระแสไฟฟ้า และป้องกันการช็อตไฟฟ้า เหมาะกับงานที่มีความเปียกชื้น เช่น งานห้องเย็นอุตสาหกรรมอาหาร เป็นต้น อุณหภูมิที่ใช้งานอยู่ในช่วง –20 องศา ถึง 100 องศา
- สายหุ้มฉนวนไฟเบอร์กล๊าส (GLASS FIBER) สายไฟที่มีฉนวนทำจากเส้นใยแก้ว มีความทนทานต่อสารเคมีและการกัดกร่อนจากสภาพแวดล้อมที่มีสารเคมี มีความแข็งแรงและทนทานสูง สามารถทนต่อการเสียดสี การดึง และการกระแทกได้ดี เหมาะกับงานที่แห้งไม่มีความเปียกชื่น เช่นงานฉีดพลาสติก อุตสาหกรรมพลาสติก เป็นต้น อุณหภูมิที่ใช้งานอยู่ในช่วง 0 องศา ถึง 270 องศา
- สายหุ้มฉนวนสแตนเลสซีลด์ (GLASS FIBER STEEL) เป็นสายที่ถักด้วยสแตนเลสช่วยเพิ่มความแข็งแรงและทนทานต่อการกระแทก การดึง และการเสียดสี ทำให้สายสามารถใช้งานได้ในสภาพแวดล้อมที่มีความรุนแรง ทนต่ออุณหภูมิสูง ป้องกันการรบกวนทางแม่เหล็กไฟฟ้า และไฟฟ้าสถิต ทนทานต่อการลามไฟ สารเคมี เหมาะกับงานที่แห้งไม่มีความเปียกชื่น สามารถทนต่อการใช้งานหนัก การขีดข่วน เช่น งานเป่าขวดน้ำพลาสติก อุตสาหกรรมยางรถยนต์ เป็นต้น อุณหภูมิที่ใช้งานอยู่ในช่วง 0 องศา ถึง 270 องศา
การควบคุมอุณหภูมิในโรงสัตว์เลี้ยง มีความสำคัญอย่างไร
โรงเลี้ยงสัตว์ หรือฟาร์มสัตว์ คือ สถานที่ที่ใช้สำหรับการเลี้ยงสัตว์หลากหลายประเภท เช่น วัว, หมู, ไก่, แพะ, แกะ และอื่นๆ เพื่อจุดประสงค์ต่างๆ เช่น การผลิตเนื้อ, นม, ไข่, ขน, หรือผลิตภัณฑ์อื่นๆ การจัดการโรงเลี้ยงสัตว์ที่ดีมีความสำคัญอย่างยิ่งเพื่อให้สัตว์มีสุขภาพดีและการผลิตที่มีประสิทธิภาพ และการวัดอุณหภูมิในโรงเลี้ยงสัตว์ เป็นอะไรที่สำคัญอย่างมาก โดยจะส่งผลให้ให้สัตว์ไม่เกิดความเครียดและสามารถเติบโตได้ดี

- สุขภาพของสัตว์: อุณหภูมิที่ไม่เหมาะสมอาจทำให้สัตว์ป่วยหรือมีอาการเครียด ซึ่งอาจนำไปสู่การลดภูมิคุ้มกันและเพิ่มโอกาสในการติดเชื้อและโรคต่างๆ
- การเจริญเติบโตและการผลิต: สัตว์ที่อยู่ในอุณหภูมิที่เหมาะสมจะมีการเจริญเติบโตและการผลิตที่ดีกว่า อุณหภูมิที่สูงหรือต่ำเกินไปอาจทำให้สัตว์กินอาหารน้อยลงและการเติบโตช้าลง
- การเพิ่มประสิทธิภาพในการเลี้ยง: การควบคุมอุณหภูมิที่เหมาะสมช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้ทรัพยากรและลดค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงสัตว์ เนื่องจากสัตว์จะใช้อาหารในการเจริญเติบโตมากกว่าในการรักษาอุณหภูมิร่างกาย
- ความสะดวกสบายของสัตว์: การให้สัตว์อยู่ในสภาพแวดล้อมที่สบายจะช่วยลดความเครียดและเพิ่มคุณภาพชีวิตของสัตว์
- การป้องกันโรค: อุณหภูมิที่เหมาะสมช่วยลดการแพร่กระจายของเชื้อโรคและปรสิตในโรงเลี้ยงสัตว์
ดังนั้น การวัดและควบคุมอุณหภูมิในโรงเลี้ยงสัตว์เป็นสิ่งที่จำเป็นและมีผลต่อความสำเร็จในการเลี้ยงสัตว์อย่างมาก สุพรีมไลน์ขอแนะนำ Temperature Controller CONOTEC รุ่น FOX-2IC เหมาะสำหรับวัดอุณภูมิในโรงเลี้ยงสัตว์ ใช้งานได้ทั้งด้านความร้อน และความเย็น ช่วงวัดอุณหภูมิใช้งาน -55.00 ± 155°C
ดูรายละเอียดสินค้าได้ที่
https://cutt.ly/conotec-fox2ic_SPL
มัลติมิเตอร์แบบดิจิตอล (Digital Multimeter)
มัลติมิเตอร์แบบดิจิตอล (Digital Multimeter) เป็นมัลติมิเตอร์อีกชนิดหนึ่ง ที่ได้รับการพัฒนา มาจากมัลติมิเตอร์แบบอนาล็อก แต่เปลี่ยนรูปแบบเทคโนโลยีเคลื่อนที่ด้วยสนามแม่เหล็ก เป็นเทคโนโลยีแบบอิเล็กทรอนิกส์แทน โดยนําเอาระบบดิจิตอลที่แสดง ตัวเลขเข้าแทนที่ในการแสดงผลการวัด ทั้งนี้ได้มีการรวมเอาดิจิตอลโอห์มมิเตอร์ (Digital Ohmmeter) ดิจิตอลแอมป์มิเตอร์ (Digital Ammeter) และดิจิตอล โวลต์มิเตอร์ (Digital Voltmeter) เข้าไว้ในเครื่องวัดเครื่องเดียวกันเช่นเดียวกับ มัลติมิเตอร์แบบอนาล็อก และที่สําคัญนั้น มัลติมิเตอร์แบบดิจิตอลถูกสร้างขึ้นมา เพื่อทําลายข้อจํากัดมากมายของ มัลติมิเตอร์แบบอนาล็อกนั้นเอง .

โดยมิลติมิเตอร์แบบดิจิตอลมีข้อดีดังต่อไปนี้
- ระบบการทำงานเป็นแบบ auto
- แสดงผลได้รวดเร็วกว่า
- แสดงค่าได้แม่นยำกว่าแม้จะมีค่าต่ำสุดก็ตาม
- ใช้งานง่ายกว่า และแสดงค่าเป็นตัวเลขที่ตรงตัว
- เลือกความละเอียดได้ใน ทศนิยม 2-3 ตำแหน่ง
- ใช้งานได้ดีภายใต้ความกดดัน
- สามารถเก็บข้อมูลการวัดค่าได้แบบอัตโนมัติ
- สามารถแสดงค่าได้ละเอียดมากกว่า
- สามารถแสดงค่าได้แม้จะผิดขั้วก็ตาม
- มีความแม่นยำสูงกว่า และตัดปัญหาความผิดเพี้ยนที่เกิดจากการอ่านค่า
- ไม่จำเป็นต้องใช้ความชำนาญในการอ่านค่า
ดูรายละเอียดสินค้าเพิ่มเติมได้ที่ https://goo.gl/KeAzXs
วัตถุดิบแต่ละประเภทควรอยู่ที่อุณหภูมิเท่าไหร่
การตั้งอุณหภูมิสำหรับสินค้าแต่ละชนิดจะแตกต่างกันออกไป ซึ่งหากมีการตั้งอุณภูมิสินค้าผิดพลาด อาจส่งผลให้ทำให้อาหาร หรือวัตถุดิบที่ต้องการจำหน่ายมีแบคทีเรีย และเกิดการเน่าเสียได้ง่าย ดังนั้นแล้ว วันนี้สุพรีมไลนส์ จะมาให้ความรู้เกี่ยวกับอุณภูมิที่เหมาะสมกับวัตถุดิบกัน

- อาหารปรุงสุก 72°C-82°Cควรเก็บอาหารที่อุณหภูมิ 60°C (140°F) หรือร้อนกว่า เหมาะสมสำหรับการปรุงอาหารชนิดต่างๆ โดยการปรุงเนื้อสัตว์ต่างๆ หากมีอุณภูมิต่ำกว่า 4°C-60°C จะทำให้แบคทีเรียสามารถเติบโตได้เร็ว ซึ่งอาจจะเป็นสาเหตุให้เกิดโรคอาหารเป็นพิษได้
- อาหารแช่เย็นวัตถุดิบที่เป็นของสด ควรอยู่ในอุณหภูมิ 4°C หรือเย็นกว่า สำหรับเนื้อสัตว์ถ้าต้องการเก็บไว้เป็นเวลานานๆ ควรมีอุณหภูมิที่ต่ำกว่า -18°C อาหารทะเลควรเก็บไว้ในช่วงอุณหภูมิที่ต่ำกว่า 0°C และ -18°C ส่วนผักสดและผลไม้ เก็บไว้ในตู้เย็นที่มีอุณหภูมิระหว่าง 4°C – 10°C ไม่ควรแช่ผักและผลไม้ในอุณหภูมิที่ต่ำกว่านี้ เพราะจะทำให้วิตามินและแร่ธาตุลดลงได้ และผลไม้บางชนิดก็ไม่เหมาะกับการแช่เย็น เพราะความเย็นอาจทำให้เนื้อผลไม้ช้ำ และเสียรสชาติได้
(ข้อมูลจาก : แม็คโคร)
ทั้งนี้แล้วหากยังกังวลเกรงวาจะตั้งค่าอุณภูมิที่ไม่เหมาะสมสำหรับวัตถุดิบอยู่ เราขอแนะนำ “เครื่องวัดอุณหภูมิสำหรับตู้แช่” รุ่น FOX-X10 และ FOX-MR20 ช่วยวัดอุณหภูมิในตู้แช่เพื่อให้อยู่ในอุณหภูมิที่เหมาะสมสำหรับการเก็บรักษา โดยเครื่องวัดชนิดนี้ การทำงานด้วยระบบเซ็นเซอร์ เพื่อให้อ่านค่าได้รวดเร็ว และมีหน้าจอที่แสดงผลตัวเลขอ่านง่าย ซึ่งทำให้การปรับเปลี่ยนอุณภูมิเป็นไปได้ตามความเหมาะสมของวัตถุดิบนั้นๆ